จอ LED (จอแอลอีดี) คืออะไร

จอ LED (จอแอลอีดี) คืออะไร

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา หลายๆท่านอาจจะพบเห็นแนวโน้มการใช้ "จอ LED (จอแอลอีดี)" ที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วในหลากหลายสถานที่ ไม่ว่าจะเป็นจอโฆษณาขนาดใหญ่บริเวณสี่แยก จอโฆษณาในห้างสรรพสินค้า ร้านค้า ร้านอาหาร หรือแม้แต่จอ LED สำหรับการใช้งานในห้องประชุมขนาดใหญ่ บทความนี้จะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับจอ LED กันมากขึ้นครับ

 

“จอ LED (จอแอลอีดี) คืออะไร”

LED ย่อมาจากคำว่า Light Emitting Diode ซึ่งหมายถึงชนิดของเทคโนโลยีที่ใช้ส่องสว่างด้านหลังจอภาพ หรือที่เรียกว่า backlight ใช้ระบบการฉายภาพด้วยหลอดไฟขนาดเล็ก โดย “จอ LED (จอแอลอีดี)” เนื่องจากหลอดที่ใช้เปลี่ยนเป็นหลอด LED หรือเรียกว่า ไดโอดเปล่งแสง ซึ่งเป็นตัวนำให้เกิดการเปล่งแสงออกมาเมื่อมีไฟฟ้าไหลผ่าน มีอายุการใช้งานที่มากและใช้พลังงานที่น้อย ซึ่งหลอด LED นี้เองจะทำหน้าที่เป็นตัวเกิดแสง และผลึกคริสตัลที่เป็นของแข็งกึ่งของเหลว 3 สี คือสีแดง น้ำเงิน และเขียว บิดตัวเป็นองศาเพื่อให้แสงไฟจาก LED ส่องผ่าน และฉายออกไปเป็นภาพสีสันสวยงามบนหน้าจอ จึงทำให้เราได้มองเห็นภาพที่มีความสดใสของสีและภาพคมชัดมากขึ้นกว่าจอเทคโนโลยีเดิมอย่างจอทีวี หรือจอโปรเจคเตอร์

 

ทำไม “จอ LED (จอแอลอีดี)” ถึงได้รับความนิยม

นอกจากว่า “จอ LED (จอแอลอีดี)” จะมีข้อดีที่ประหยัดพลังงาน มีอายุการใช้งานที่ยาว และให้สีสันที่ตรงและเป็นธรรมชาติแล้ว “จอ LED (จอแอลอีดี)” ยังมีมุมมองภาพที่กว้าง และมีน้ำหนักที่เบา กันแดดกันน้ำได้พอประมาณ และยังออกแบบให้มีความบิดโค้งได้ ทำให้ “จอ LED (จอแอลอีดี)” นั้นถูกใช้งานอย่างหลากหลาย ทั้งในร่มและกลางแจ้ง แถมยังเหมาะทั้งกับการแสดงผลทั้งภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว ทำให้ “จอ LED (จอแอลอีดี)” นั้นได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ

 

คุณสมบัติและประโยชน์ของ “จอ LED (จอแอลอีดี)”

เพื่อให้ทุกท่านมองเห็นภาพรวมของเจ้า “จอ LED (จอแอลอีดี)” มากขึ้น เราจึงรวบรวมคุณสมบัติและประโยชน์มาให้ได้อ่านกันครับ

ความสว่างและความสดใส : “จอ LED (จอแอลอีดี)” มีความสามารถในการแสดงความสว่างและสีที่สดใส ทำให้ภาพและข้อความที่ปรากฏบนหน้าจอสามารถมองเห็นได้ชัดเจนในทุกสภาพแสง ดึงดูดความสนใจได้ดีกว่าจอทีวี หรือโปรเจคเตอร์ทั่วไป

ความหลากหลายในการแสดงผล : “จอ LED (จอแอลอีดี)” สามารถแสดงภาพและข้อความที่มีรูปแบบหลากหลายได้ เช่น ภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว วิดีโอ และเอฟเฟกต์ต่าง ๆ ทำให้ “จอ LED (จอแอลอีดี)” เหมาะสำหรับการนำเสนอข้อมูลที่สนุกสนานและสร้างความประทับใจต่อผู้ชม

ความรวดเร็วในการเปลี่ยน Content : “จอ LED (จอแอลอีดี)” สามารถแสดงผลเนื้อหาที่เปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็ว และมีความยืดหยุ่นในการปรับเปลี่ยนเนื้อหาในเวลาทันที เช่น การแสดงโฆษณาล่าสุด ข่าวสารประจำวัน หรือผลิตภัณฑ์ใหม่ โดยสามารถควบคุมหลายจอได้พร้อมกันและจากที่ใดก็ได้

ความทนทาน : หลอด LED มีอายุการใช้งานที่ยาวนานและมีความทนทานต่อสภาพแวดล้อมที่หลากหลาย เช่น สภาพอากาศและความชื้น นอกจากนี้ยังไม่มีการเกิดปัญหาสีซีดจาง หรือสีไม่เท่ากันเมื่อใช้เวลานาน มีอายุการใช้งานยาวนานถึง 100,000 ชั่วโมง เมื่อเทียบกับอายุการใช้งานเฉลี่ยของโปรเจคเตอร์แบบเลซอร์ 20,000 ชั่วโมง 

ประหยัดพื้นที่ : “จอ LED (จอแอลอีดี)” มักมีขนาดบางและขนาดเล็ก ทำให้เหมาะสำหรับการใช้ในพื้นที่จำกัด เช่น การติดตั้งในอาคารหรือสถานที่ที่มีพื้นที่จำกัด

 

เลือกซื้อ "จอ LED (จอแอลอีดี)" ต้องคำนึงถึงอะไรบ้าง?

หลังจากทำความรู้จักกับ "จอ LED (จอแอลอีดี)"​ กันไปแล้ว เรามาดูกันถึงข้อแนะนำเบื้องต้นในการเลือกจอ LED ให้เหมาะสมกับการใช้งานของเรากันบ้างดีกว่าครับ 

1. ขนาดหน้าจอ (Screen Size) : หากคุณมีจอฉายโปรเจคเตอร์เดิมอยู่แล้ว สามารถอ้างอิงจากขนาดจอฉายเบื้องต้นได้ หรือหากไม่เคยมีการติดตั้งมาก่อน ควรวัดขนาดความกว้างและสูงให้พอดีกับพื้นที่ใช้งาน และปรึกษากับทางผู้ให้บริการอีกครั้งถึงขนาดที่แน่นอนครับ ทั้งนี้ ขนาดหน้าจอ LED ไม่จำเป็นต้องเป็นขนาดสี่เหลี่ยมแบบที่เราเห็นกันทั่วไป สามารถออกแบบพิเศษ (Customization) ตามดีไซน์ที่ผู้ใช้งานต้องการได้ เช่น ลักษณะจอ LED แบบโค้ง

2. ความละเอียด (Pixel Pitch) : หรือเรียกสั้นๆว่า P ซึ่งคือระยะห่างในหน่วยมิลลิเมตรจากจุดศูนย์กลางของแต่ละพิกเซล ยิ่งระห่างระหว่างพิกเซลลดลง (Pixel Pitch น้อย) แปลว่าความหนาแน่นของไดโอดเปล่งแสง (หลอด LED) ก็จะยิ่งมาก ส่งผลให้ได้ภาพความละเอียดสูงยิ่งขึ้น ความคมชัดของภาพก็มากขึ้นไปด้วย โดยจอ LED ที่มี Pixel Pitch น้อยจะมีราคาสูงกว่าจอ LED ที่มี Pixel Pitch มาก ขนาด Pixel Pitch ที่เป็นที่นิยมสำหรับงานห้องประชุมจะน้อยกว่า P4 โดยหากต้องการใช้งานที่มีความละเอียดหน้าจอสูงขึ้น อาจจะแนะนำเป็นขนาด P2.5 และ P1.8 ครับ

3. ระยะห่างจากหน้าจอ (Distance from screen) : ระยะระหว่างแถวแรกของผู้มองจอ LED กับบริเวณติดตั้งจอ LED มีผลอย่างมากต่อการเลือกความละเอียดของหน้าจอ หากผู้ใช้งานอยู่ห่างจากจอ LED มาก สามารถเลือกใช้จอที่มี Pixel Pitch สูงขึ้น (มีความละเอียดน้อยลง) ได้ แต่หากผู้มองจอ LED อยู่ใกล้กับจอ LED ควรเลือกใช้จอ LED ที่มี Pixel Pitch ที่ต่ำ (มีความละเอียดมากขึ้น)​ เพื่อสามารถมองเห็นรายละเอียดบนหน้าจอได้อย่างครบถ้วนชัดเจนและสวยงาม

4. ความสว่าง (Brightness) : สำหรับใช้ในสภาวะแสงสว่างสูงหรือออกแสงแดด (จอ LED Outdoor) จะต้องเลือกใช้จอที่มีความสว่างสูง 4,000-7,000 nits หากใช้งานทั่วไปภายในอาคาร (จอ LED Indoor) ความสว่างในระยะ 400-800 nits ก็เพียงพอ โดยผู้ใช้งานสามารถเลือกปรับระดับความสว่าง (%) ได้ตามความสว่างในพื้นที่ใช้งานจริง 

5. อัตราส่วน (Aspect Ratio) : อัตราส่วนมาตรฐานสำหรับจอคอมพิวเตอร์คือ 16:9 หรือ 4:3 ทั้งนี้ การออกแบบอัตราส่วนของหน้าจอ สามารถออกแบบพิเศษให้ตรงกับพื้นที่ต้องการใช้งาน รวมถึงพื้นที่ติดตั้งที่มีบริเวณจำกัด ควรปรึกษากับผู้ให้บริการเพื่อให้คำแนะนำการเลือกขนาดและ Aspect Ratio ที่เหมาะสม

6. ค่าเฟรมเรตและค่ารีเฟรชเรต (Frame Rate & Refresh Rate) : เพื่อการเล่นภาพเคลื่อนไหวที่ลื่น สวยงาม ไม่สะดุด สำหรับ “จอ LED” ที่ใช้งานโดยทั่วไป Frame Rate & Refresh Rate มีผลต่อความนุ่มนวลและความลื่นไหลของของภาพ “จอ LED” ส่วนใหญ่จะมีค่า Refresh Rate อยู่ที่ 3,840 Hz และ Frame Rate อยู่ที่ 60 fps หรือ 120 fps เป็นมาตรฐานที่แนะนำครับ

7. การเชื่อมต่อ (Connectivity) : ตรวจสอบว่าจอมีพอร์ตที่เหมาะสมสำหรับอุปกรณ์ที่คุณต้องการเชื่อมต่อ เช่น HDMI, DisplayPort, USB-C, และ USB Hub หรือต้องการการเชื่อมต่อแบบไร้สาย เพื่อการนำเสนองานที่สะดวกยิ่งขึ้น

8. คุณภาพและความสมจริงของสี (Color Accuracy) : คุณภาพสีของจอเป็นสิ่งสำคัญ จอที่มีคุณภาพสีที่ดีจะให้สีที่ตรงกับสีจริง โดยเฉพาะการแสดงโฆษณาสินค้าบางประเภทที่ต้องการให้แสดงสีเอกลักษณ์ของแบรนด์ให้ถูกต้อง ไม่เพี้ยน นอกจากนี้ “จอ LED” บางประเภทมีคุณสมบัติพิเศษ เช่น HDR (High Dynamic Range) สำหรับความคมชัดและความสวยงามในรูปภาพ รวมถึงค่า Color Temperature หรือการปรับแต่งระดับสี (Color Calibration) สำหรับสีสันที่สวยงานโทนสีที่ดูเป็นธรรมชาติและสมจริง

9. ลักษณะการติดตั้ง (Installation) : จอ LED โดยทั่วไปจะมีการติดตั้ง 3 แบบ ได้แก่ (1) แบบแขวนผนัง (Wall Mount) (2) แบบขาตั้งพื้น (Stacking) และ (3) แบบแขวนจากเพดาน (Hanging) โดยวัสดุของผนังและโครงสร้างก็มีผลต่อราคาเช่นกัน 

10. ยี่ห้อและประสบการณ์ผู้ผลิต : ควรพิจารณาแบรนด์ที่เชื่อถือได้และมีความเสถียร บริษัทที่มีประวัติการผลิต “จอ LED” ที่มีคุณภาพสูงเป็นเวลานาน และประกอบโดยโรงงานผู้ผลิตที่มีความน่าเชื่อถือ มี Certificate รับรองและผ่านการรับรองคุณภาพ ISO

11. การรับประกัน (Warranty) : ตรวจสอบระยะเวลารับประกันและเงื่อนไขการใช้งาน เพื่อให้คุณมั่นใจในคุณภาพและประสิทธิภาพของ “จอ LED” ที่คุณเลือก ควรพิจารณาผู้ให้บริการที่มีการสำรองอะไหล่สำหรับการเปลี่ยนซ่อม เพื่อความรวดเร็วในการเปลี่ยนและไม่เสียโอกาสทางธุรกิจ

12. ศูนย์บริการหลังการขาย (After-sales Service) : ควรตรวจสอบผู้ให้บริการที่มีแผนกหรือศูนย์บริการหลังการขายที่มีความน่าเชื่อถือและมีผู้เชียวชาญคอยดูแล หากจอ LED มีการชำรุดเสียหาย สามารถส่งทีมช่างเทคนิคเข้ามาช่วยซ่อมเซมได้ในเวลาอันรวดเร็ว เพื่อประสิทธิผลสูงสุดในการใช้งานจอรวมถึงไม่เสียโอกาสในการใช้งานหรือสร้างรายได้โฆษณา

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้